เมื่อวันที่9 ม.ค.หน่วยงานติดตามการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศของสหภาพยุโรป หรือซีทรีเอส (C3S) ได้ออกมายืนยันว่า ปี 2023 เป็นปีที่โลกร้อนที่สุด นับตั้งแต่มีการบันทึกข้อมูลมาเมื่อปี ค.ศ.1850 โดยในปี 2023 อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกสูงขึ้น 1.48 องศาเซลเซียสจากช่วงก่อนปฏิวัติอุตสาหกรรม ระหว่างปี ค.ศ.1850-1900 ที่มนุษย์เริ่มใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลในระดับอุตสาหกรรม และส่งคาร์บอนไดออกไซด์ขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ

ปี 2023 พลเรือนทั่วโลกเจ็บ-ตายจากระเบิดสูงเป็นประวัติการณ์

ปธน.ฝรั่งเศสตั้งนายกรัฐมนตรีคนแรกที่เป็น LGBT และอายุน้อยที่สุด

กลุ่มติดอาวุธเอกวาดอร์เหิมเกริม บุกยึดสถานีโทรทัศน์กลางรายการสด

และหากเทียบกับสถิติข้อมูลภูมิอากาศบรรพกาลจากแหล่งต่าง ๆ เช่น วงปีของต้นไม้ และฟองอากาศในธารน้ำแข็ง มีความเป็นไปได้สูงมากที่จะเป็นปีที่ร้อนที่สุดในรอบ 1 แสนปี

คาร์โล บวนเทมโปผู้อำนวยการ C3S ระบุว่า “มีปัจจัยหลายอย่างรวมกัน ที่ทำให้ปีนี้เป็นปีที่ร้อนที่สุด ที่แน่ๆ เลยคือ ปรากฏการณ์เอลนีโญ และอาจจะมีตัวแปรอื่นๆ อีก ที่ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ แต่การเปลี่ยนแปลงสภาพเป็นตัวผลักดันอย่างแน่นอน”

บวนเทมโปกล่าวด้วยว่า สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปขึ้นอยู่กับว่าเอลนีโญจะส่งผลอย่างไรหลังจากนี้ เพราะหากเรากำลังเปลี่ยนผ่านสู่ลานีญา ซึ่งจะทำให้อากาศหนาวเย็น ปี 2024 ก็อาจจะไม่ทำลายสถิติอีก แต่ถ้าเอลนีโญยังทรงตัว หรือกลับไปรุนแรงขึ้น ปี 2024 ก็อาจจะร้อนกว่าที่เราเจอในปี 2023 ได้ แต่จากแนวโน้มที่ผ่านมา ค่อนข้างแน่นอนว่า อุณหภูมิเฉลี่ยโลกใน 5 ปีถัดไป จะสูงกว่า 5 ปีที่ผ่านมา

นักวิทยาศาสตร์คาดการณ์กันอย่างกว้างขวางว่าโลกจะร้อนทำสถิติใหม่ในปีที่ผ่านมา หลังจากสถิติเกี่ยวกับสภาพอากาศหลายอย่างถูกทำลายซ้ำๆ ตั้งแต่เดือนมิถุนายนปีที่แล้ว ทุกเดือนที่ตามมาต่างทำสถิติเดือนที่ร้อนที่สุดเมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันในปีก่อนๆ

เช็กลิสต์ 18 ศูนย์สอบ ก.พ. แบบ e-Exam ประจำปี 2567

ซูเปอร์คอม ทำนายแชมป์เอเชียน คัพ 2023 คำพูดจาก สล็อตฝ

เปิดภาพเรนเดอร์-สเปกหลุด iPhone SE 4 มาพร้อมไซส์กะทัดรัด-กล้อง 12MP